Sponsored

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิตามินและสารอาหารสำหรับวัยรุ่น ตอน 2

อาหารบำรุงสายตาวัยรุ่น วัยเทคโนโลยี
ปัจจุบันเทค
โนโลยีต่างๆ ได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีผลต่อทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่กำลังเรียนรู้และก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เทคโนโลยีที่ฮิตที่สุดของวัยนี้ คงต้องยกให้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต โทรทัศน์ แน่นอนว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีประโยชน์ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้กลายเป็นมหัตภัยทำร้ายสุขภาพ โดยเฉพาะ "สายตา" ถ้าไม่มีการป้องกันที่ดีพอ จึงพบปัญหาเด็กสายตาสั้น ตาพร่ามัว และสายตาเสื่อมก่อนวัยอันควร ซึ่งสารอาหารที่ช่วยบำรุ่งสายตาจึงมีบทบาทสำคัญ เพราะสายตาที่ดีย่อมส่งผลให้เด็กวัยรุ่นมีความพร้อมในการพัฒนาด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี



สารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุ่งสายตาของวัยรุ่น ได้แก่
สารกลุ่มคาร์โรทีนอยด์ (Carotenid) เป็นสารประกอบธรรมชาติที่มีอยู่ในผัก และผลไม้ เช่น ฟักทอง แครอท บรอกโคลี ซึ่งสารคาร์โรทีนอยด์ที่สำคัญ เช่น Alpha-carotene, Beta-carotene, Lut
ein, Zeaxznthine, Cryptoxanthine, Lycopene โดยสารคาร์โรทีนอยด์จะเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายเท่าที่ร่างกายต้องการ

ประโยชน์ของสารกลุ่มคาร์โรทีนอยด์
- ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย และเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา จมูก และอวัยวะภายในต่างๆ
- ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อโรค
- เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ คอยปกป้องเซลล์และอวัยวะภายในต่างๆ ของร่ายกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ
- ช่วยเซลล์ประสาทตา สายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน (Night blindness)

ลูติน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthine)
เป็นสารประกอบกลุ่มคาร์โรทีนอยด์ ซึ่งสามารถพบได้ในลูกตา และพบมากที่สุดบริเวณจุดศูนย์กลางของเรตินาภายในลูกตา ที่เรียกว่า มาคิวลา (Macula) ซึ่งลูตินจะเป็นส่วนประกอบของชั้นวัตถุสีเหลืองในตา

ประโยชน์ของสารสูตินและซีแซนทิน
- มีส่วนช่วยดูดซับแสงสีน้ำเงินในแสงแดด แสงจากจอคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์ ที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อดวงตา
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเรตินาและเลนส์ตา จึงช่วยป้อง
กันจอประสาทตาเสื่อม

อาหารบำรุ่งร่างกายวัยรุ่น วัยเจริญเติบโต
วัยรุ่นต้องการวิตามินและแร่ธาตุมากเป็นพิเศษ เพราะเด็กวัยรุ่นโตเร็วมากและมีการเปลี่ยนแปลงภายในร่าง
กายตามธรรมชาติพร้อมกับการเจริญเติบโตทางเพศและอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ เด็กผู้ชายมักมีการเจริญเติบโตทางกล้ามเนื้อและกระดูก และมักกระฉับกระเฉงว่องไวกว่าเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงก็มีการเจริญเติบโตทางกล้ามเนื้อและกระดูกเช่นกัน นอกจากนี้เด็กผู้หญิงยังต้องการสารอาหารพิเศษ เพื่อเตรียมในการมีประจำเดือนอีกด้วย

วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต

กลุ่มวิตามินที่จำเป็น ได้แก่

วิตามิน B1 (Thiamin) จะช่วยในการเผาผลาญอาหาร เช่น คาร์โบไฉเดรตเพื่อไปใช้เป็นพลังงานแก่ร่างกายจำเป็นต่อสมอง กล้ามเนื้อ หัวใจ ระบบประสาท เสริมสร้างความคิดที่ฉับไว ตื่นตัว ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม (Alzheimer's) และการแก่เร็วกว่าวัย

การขาดวิตามิน B1 ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ
- เป็นโรคเหน็บชา อาจพบอาการชาทั้งมือและเท้า กล้ามเนื้อแขนและขาไม่มีกำลัง
- ร่ายกายอ่อนเพลีย หลงลืมว่าย กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า
- ถ้าเป็นมากจะมีอาก
ารใจสั่นหัวใจโตและเต้นเร็ว หอบ เหนื่อย

วิตามิน B2 (Tiboflavin) จำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนต่างๆการสร้างเม็ดเลือดแดง เสริมภูมิต้านทาน และการเจริญเติบโตของร่างกายช่วยในการเผาผลาญไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับสมอง

การขาดวิตามิน B2 ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ
- เกิดแผลที่มุมปากทั้งสองข้าง เรียกว่า "ปากนกกระจอก" ริมผีปากแตก เจ็บลิ้น
- ผิวหนังแห้ง ตาแพ้แสงง่าย ขาบวม
- ระบบการทำงานของระบบประสาทผิดปกติ


Biotin จำเป็นต่อขบวนการเผาผลาญไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรตเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ช่วยในการรักษาสุขภาพของผิวหนัง ผม ระบบประสาท ไขกระดูก การผลิตฮอร์โมนเพศในช่วงวันรุ่น

การขาด Biotin ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ
- จะทำให้ผิวหนังแห้ง ผมร่วง
- ไม่อยากอาหาร จิตใจอ่อนล้า
- ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ตับโต

Folic Acid มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากช่วยผลิตเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว สร้างเซลล์ ควบคุมอารมณ์ ความอยากอาหาร และการสร้างสารพันธุกรรม DNA และ RNA จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะเด็กทารก เด็กวัยก่อนและวัยเรียนและยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทและสมองให้พัฒนา

การขาด Folic Acid ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ
- อารมณ์ไม่ปกติ แปรปรวนง่าย
- ทำให้กระดูกสันหลังเสื่อม ซึ่งเป็นสาเหตุของร่างกายอ่อนเพลียเดินเซ งุนงง

วิตามิน C เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถผลิตและสะสมวิตามิน C ในร่างกายได้ จึงจำเป็นต้องรับประทานทุกวัน มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยลดสารอนุมูลอิสระจำเป็นต่อการเสริมสร้างและซ่อมแซมเส้นเลือด และเซลล์ต่างๆ ป้องกันการเป็นหวัด

การขาดวิตามิน C ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ

- คนที่ขาดวิตามินซีมักจะป่วยบ่อย เนื่องจากมีความต้านทานโรคต่ำ
- เหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย ถ้าเป็นมากฟันจะโยรวน และมีเลือดออกตามไรฟันง่าย อาการเหล่านี้เรียกว่า "โรคลักปิดลักเปิด"

กลุ่มแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็น ได้แก่
ธาตุสังกะสี มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน กล้ามเนื้อ และกระดูก ช่วยให้แผลหายเร็ว ช่วยกระบวนการเผาผลาญของคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ช่วยพัฒนาระบบสืบพันธุ์ ประสาทสัมผัส เช่น การได้ยิน กลิ่น และการรับรสต่างๆ ช่วยเสริมสร้ามความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตา ช่วยบำรุงผิว ผม และเล็บ ป้องกันการเกิดสิว ภูมิแพ้ ดังนั้นช่วยวัยรุ่นจึงมีความต้องการแรธาตุสังกะสีมากขึ้นเมื่อเทียบกับวัยเด็ก ซึ่งพบว่าช่วยวัยรุ่นมีโอกาสที่จะขาดแร่ธาตุสังกะสีได้

การขาด ธาตุสังกะสี ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ
- พบจุดขาวบนเล็บ และผิวหนัง ผมร่วง
- สมาธิสั้นและร่ายกายเจริญเติบโตช้า เตี้ยแคระ

ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือด และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเป็นปกติ โดยช่วยป้องกันและต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย

การขาด ธาตุเหล็ก ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ คือ
- เด็กวัยรุ่นที่ขาดธาตุเหล็ก จะพบภาวะโลหิตจาง
- ความสามารถในการเรียนรู้ช้าลง และมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาท
- ร่ายกายอ่อนแอ ปวดศีรษะบ่อย เป็นหวัด หรือโรคผิวหนังง่าย

ดังนั้น พ่อ แม่ และทุกคนในครอบครัวจึงควรหันมาใส่ใจ และร่วมกันสร้างคุณภาพชีวิต ดูแลลูกตั้งแต่เด็กจนถึงวันรุ่น ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ความสุขและความอบอุ่นก็จะเกิดขึ้นในครอบครัว วัยรุ่นที่มีความสุขจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้น และเป็นเกราะป้องกันตนเองเพื่อก้าวต่อไปเป็นผู้ใหญ่ที่ทำคุณประโยชน์ที่ดีต่อสังคมและประเทศชาติต่อไป

...............................................
กลุ่มวัยรุ่นที่ควรได้รับวิตามินและสารอาหาร
1. เด็กที่กำลังเจริญเติบโตเข้าสู่วัยรุ่นขึ้นไป
2. เรียนหนัก ต้องบำรุ่งสมอง หรือสายตา

3. รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ในแต่ละวัน



สนับสนุนข้อมูลโดย ศูนย์ข้อมูลวิชาการ
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ พีทีวาย จำกัด
MEGA We Care

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิตามินและสารอาหารสำหรับวัยรุ่น

เสริมสติปัญญาและสายตาและสุขภาพของวัยรุ่น ให้มีพัฒนาการที่ดี สมองของเด็กหลังคลอดทั่วโลกจะมีรูปแบบเหมือนกัน โดยแบ่งเป็น 2 ซีก คือสมองซีกขวา ซึ่งเป็นส่วนของจินตนาการ และความคิดสร้างสรรรค์สามารถพัฒนาได้มากในช่วงวัย 4-7 ปี ส่วนของการคิดที่เป็นเหตุเป็นผล จะพัฒนาในช่วง 9-12 ปี และสมองทั้งสองด้านจะเจริญเติบโตเต็มที่เมื่อเด็กอายุ 11-13 ปี แต่สิ่งที่กำหนดใาห้เด็กมีไอคิวต่างกัน คือ วิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ การอบรมการเลี้ยงดู เซลล์สมองที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันจะถูกทำลาย ซึ่งประสิทธิภาพของสมองนั้นก็จะขาดหายไป เช่น การคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อย่างเช่น คนไทยสมองส่วนนี้จะหดหายไป เพราะเราไม่ได้กระตุ้นให้เด็กฝึกคิด


ปัจจัยที่มีผลต่อสมอง
ปัจจัยที่ทำให้สมองเจริญเติบโตดีสำหรับกลุ่มวัยรุ่น
1.การได้ทำกิจกรรมกลุ่ม เข้าร่วมสังคม
2.ช่วยเหลือตัวเองตามวัย ได้ทำหรือเรียนสิ่งที่ชอบ
3.ได้รับคำชมเชย ความรักจากพ่อแม่/ผู้ใกล้ชิด
4.ศิลปะ ดนตรี กีฬา ออกกำลังกาย ร้องเพลงตามความชอบและอิสระไม่ใช่ท่องทฤษฎี
5.มองตนเองในแง่บวก
6.ได้จินตนาการ เช่นฟังนิทาน
7.เป็นคนยืดหยุ่น
8.ได้รับอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะ ปลา ถั่วเหลือง ธาตุเหล็ก ไอโอดีน วิตามินบี
9.ได้รับการศึกษาที่เหมาะสม สร้างกระบวนการคิดมากกว่าเน้นความจำ
10.ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง

ปัจจัยที่ทำให้สมองถูกทำลายเกิดได้กับทุกวัย
1.ความเครียด จากสาเหตุต่างๆ เช่น
-เรียนหนัก ถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่ชอบ
-ถูกดุหรือต่อว่าทุกวัน ขาดความรักและความอบอุ่น
-ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อน
-มองตนเองในแง่ลบ
-เข้มงวด และวิตกกังวลมากเกินไป

2.สมองไม่ได้ถูกกระตุ้นหรือถูกใช้เลย เช่น การคิดจินตนาการ ความคิดแปลกแตกต่าง คิดแก้ปัญหา
3.ขาดสารอาหาร
4.ความกังวล โกรธ ความเครียดนานๆ จะยับยั้งการเรียนรู้และทำลายสมอง
5.ได้รับสารพิษ ยาเสพติด เหล้า เบียร์ เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ บุหรี่ สารตะกั่ว ฯลฯ


อาหารที่ช่วยบำรุงสมองวัยรุ่น วัยเรียนรู้
อาหารที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาการของสมองของวัยรุ่นเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะ "พัฒนาการสมอง"
ของเด็กที่ดี ส่งผลให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพอาหารที่มีประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาสมองจึงเป็น
สิ่งจำเป็นที่เด็กในวัยนี้ควรได้รับอย่างเพียงพอ เนื่องจาก
-เซลล์สมองของเด็กวัยรุ่นยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นจะต้องได้รับสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาของสมอง
-เพื่อช่วยเสริมสมาธิในการเรียน และความจำ

แต่ในภาวะปัจจุบัน การแข่งขันด้านการศึกษาสูงมาก เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องคร่ำเคร่งกับการเรียน จึงทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน อาหารจานเดียวหรืออาหารขยะที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ จึงเป็นทางเลือกหลักของวัยรุ่นก่อให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ เช่น โรคภาวะกระดูกพรุน ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง โลหิตจาง โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง เป็นต้น ดังนั้นการเสริมอาหารที่ช่วยในการพัฒนา และบำรุงสมองของวัยรุ่น เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้เด็กเล็กเช่นกัน


สารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของวัยรุ่น ได้แก่
DHA(Docosahexaenoic acid) เป็นกรดไขมันจำเป็น ชนิดไม่อิ่มตัวในกลุ่ม Omega 3 DHA ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเซลล์สมองและประสาทตาข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ DHA

ประโยชน์ของ DHA ในการพัฒนาสมองและสายตาของเด็กวัยรุ่น
-ช่วยพัฒนาสมองและสายตา
-ช่วยในการเรียนรู้ เสริมความจำ
-ช่วยป้องกันการเกิดโรคสมาธิสั้น เสริมให้มีสมาธิดีขึ้น
-ช่วยป้องกันการเรียนรู้ช้า ทั่งการอ่านและเขียน


เลซิติน (Lecithin)และโคลีน(Choline)
สารโคลีนในเลซิตินจำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่ายการจะนำโคลีนไปใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการสร้างสารสื่อประสาท ที่เรียกว่า อะเซทิลโคลีน(acetylcholine)ใช้ในการสื่อสารของมูลต่างๆ ระหว่างเซลล์ประสาทและเนื้อเยื่อประสาทและเลซิตินยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ในเนื้อเยื่อของอวัยวะสำคัญๆ เช่น สมอง ตับ หัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมอง ซึ่งมีเลซิตินเป็นส่วนประกอบถึง 30%

ประโยชย์ของเลซิติน ในการพัฒนาสมองของเด็กวัยรุ่น
-ช่วยเสริมพัฒนาการสมอง การพูด การเคลื่อนไหว
-ช่วยในการเรียนรู้ เสริมสร้างความจำที่ดี ควบคุมการส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
-ช่วยบรรเทาควาทเครียดที่เกิดขึ้นจากการเรียนหนังสือ

สนับสนุนข้อมูลโดย ศูนย์ข้อมูลวิชาการ
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ พีทีวาย จำกัด
MEGA We Care

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

แหล่งธรรมชาติของโอเมก้า -3 สิ่งมหัสจรรย์ เพื่อหัวใจและสมอง ภาค 2

น้ำมันปลา สำคัญต่อระบบสมอง
1.ลดเซลล์สมองเสื่อม ป้องกันโรคสมองเสื่อม จาการศึกษาพบว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ DHA(Docosahexaenoic Acid) ทำให้กรดไขมัน DHA ในน้ำมันปลามีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อสมอง ผลวิจัยทางการแพทย์จากมหาวิยาลัย UCLA ของอเมริกา พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์(Alzheimer) ได้ เนื่องจากการศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในคนสูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าระดับ DHA ที่ลดต่ำลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม

2.ลดภาวะซึมเศร้า จากการวิจัยพบว่าผู้บริโภคปลาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะสมดุลของกรดไขมันในร่างกายมีผลต่อความรุนแรงในการเกิดโรคซึมเศร้า คนที่มีระดับของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ และโอเมก้า-6 สูง จะมีโอกาสเกิดภาวะซึ่มเศร้ามากกว่าปกติ ซึ่งการรักษาคนไข้ซึมเศร้าในโรงพยาบาลพบว่า DHA ให้ผลในการรักษาอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับคนไข้ที่ได้รับ DHA

น้ำมันปลา หลากหลายประโยชน์ต่อสุขภาพ

1.เบาหวาน เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่สองที่มักพบในผู้ใหญ่ที่อ้วน ซึ่งนักวิ
จัยชาวเนเธอร์แลนด์ค้นพบว่า กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน

2.ปวดไมเกรน กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพรอสตาแกลนดิน และลดการหลั่งของสารซีโลโทนิน ทำให้การเกาะตัวของเกร็ดเลือดลดลงในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมอง จึงมีส่วนช่วยลดอาการไมเกรนได้

3.หอบหืด การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบที่เป็นตัวการสำคัญให้เกิดอาการของหอบหืดขึ้น คือ สารลิวโคไตรอิน และพรอสตาแกลนดิน ดังนั้นการรับประทานน้ำมันปลาอย่าต่อเนื่องจะช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้

น้ำมันปลาที่ดีต้องปลอดสารพิษ คือ น้ำมันปลาคุณภาพยา
ปัจจัยที่สำ
คัญที่ต้องคำนึงถึงสำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา คือ คุณภาพและความปลอดภัย แต่กลับพบว่า น้ำมันปลาคุณภาพต่ำส่วนใหญ่ที่ผลิตภายใต้มาตรฐานอาหารทั่วไป มักพบสารปบเปื้อนจำพวก ตะกั่ว ปรอท สารหนู และยาฆ่าแมลง เจือปนมาจากขั้นตอนการผลิต เนื่องจากความเข้มงวดของการควบคุมคุณภาพของน้ำมันปลาในประเทศไทย และบางประเทศทั่วโลก อาจยังไม่เข็มงวดมากนัก เพราะผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาจัดอยู่ในสินค้าประเภทกลุ่มอาหารทั่วไป ดังนั้นผู้ผลิตที่ผลิตน้ำมันปลาภายใต้มาตรฐานยาระดับสากล ที่มีการควบคุมคุณภาพการผลิต และคัดสรรบุคลากรทางการแพทย์เพื่อช่วยคัดกรองผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

และเนื่องจากน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาต่างสายพันธุ์ จะทำให้ปริมาณของ EPA และ DHA ที่ต่างกัน ควรเลือกน้ำมันปลาที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาวจากไอซ์แลนด์ ซึ่งมั่นใจได้ว่ามีปริมาณโอเมก้า-3 สูงจะประกอบไปด้วย EPA 18% และ DHA 12% ซึ่งองค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับประทาน 0.3-0.5 กรัม ของ EPA + DHA ซึ่งเพียงพอ แต่มีผู้ผลิตบางรายผลิตน้ำมันปลาที่มี % EPA + DHA สูงขึ้นในสัดส่วน EPA 30% และ DHA 20% ซึ่งสะดวกในการรับประทานมากขึ้น แต่ผู้บริโภคก็อาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคความพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ

สนับสนุนข้อมูลโดย ศูนย์ข้อมูลวิชาการ
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ พีทีวาย จำกัด
MEGA We Care

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2552

น้ำมันปลาเป็นแหล่งธรรมชาติของโอเมก้า-3 สิ่งมหัสจรรย์เพื่อหัวใจและสมอง

กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายโดยเฉพาะกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ส่วนใหญ่กรดไขมันชนิดนี้พบได้ในไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันปลา ซึ่งถือเป็นแหล่งจากธรรมชาติที่พบมากและมีคุณภาพดี ปัจจุบันความสนใจทางการแพทย์เกี่ยวกับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากน้ำมันปลาเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดย

เริ่มจากข้อมูลที่ ชาวเอสกิโมมีเปอร์เซนต์ของผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันต่ำ เมื่อศึกษาถึงภาวะโภชนาการ จึงพบว่าอาหารที่ชาวเอสกิโมรับประทานในชีวิตประจำวัน คือ ปลาและแมวน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งที่มีโอเมก้า-3 ปริมาณสูงปัจจุบันจึงมีการยืนยันทางการแพทย์ถึงประโยชน์ที่สำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3
ต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดโรคๆ เช่น
1.โรคหัวใจและสมองขาดเลือด
2.ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ลดความดันโลหิต
3.ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์
4.ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความเสื่อมของสมอง โรคซึมเศร้า และบำรุงสายตา

5.บรรเทาอาการของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สะเก็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง
6.ป้องกันหรือบรรเทาโรคหอบหืด
7.ปวดไมเกรน
8.เบาหวาน

น้ำมันปลาเป็นสารอาหารประเภทไขมัน ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันในกลุ่ม Omega
-3 Polyunsaturated Fatty Acid ซึ่งมีกรดไขมันที่สำคัญอยู่ 2 ชนิดคือ
1.EPA (E
icosapentaenoic Acid) กรดไขมันชนิดนี้ มีส่วนช่วยลดระดับไขมันกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันไขมันอุตันเลือด ป้องกันไขมันอุดตันในหลอดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและสมองอุดตัน
2.DHA (Docosahexaenoic Acid) กรดไขมัน DHA มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง
และสายตา ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความเสื่อมของสมอง การเรียนรู้ และความจำ รวมถึงระบบสาตา ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

น้ำมันปลา สำคัญต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
1.ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด น้ำมันปลาจะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและลดไขมันในเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจและสมอง ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รั
บประทานน้ำมันปลา วันละ 3,000 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินอี
ธรรมชาติ 200-300ยูนิต สามารถลดอัตราการตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลวลง 15% เมื่องเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานน้ำมันปลา

2.ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาเป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) อันได้แก่ พรอสตาแกลนดิน-3(Prostaglandins-3) และทรอมบอกแซน-3 (Thromboxan-3) ซึ่งสารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดจึงมีส่วนช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด และช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบใหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ

3.ช่วยลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ไขมันกลีเซอร์ไรด์สูงในเลือด ถือเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอด
ลือด ซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตประชากรโลกปีละหลายแสนคน หรือปีละหลายพันคนสำหรับประชากรไทย ผู้ป่วยที่มีระดับไขมันกลีเซอร์ไรด์สูงถึง 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร น้ำมันปลาก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสม และมี่สำคัญ คือ ความปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียงต่องร่างกายสามารถใช้ร่วมกับยา หรือสารสกัดจากธรรมชาติโพลีโคซานอล ในการลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงทั้ง 2 ชนิด

4.ลดความดันโลหิตสูง ผลในการลดความดันโลหิต สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มาก ซึ่ง John Hopkins Medical School ได้สรุปผลการศึกษาจาก 17 รายการศึกษาทางคลีนิค พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาประมาณ 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถช่วยลดความดันล่าง
(Diastolic pressure) ได้ 3.5 มิลลิเมตรปรอท และความดันบน (Systolic pressure) ได้ถึง 5.5 มิลลิเมตรปรอท เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลา จุช่วยในหลอดเลือดขยายตัว และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงมีผลให้ความดันโลหิตลดลง โดยน้ำมันปลาจะไม่มีผลต่อความดันในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติ

น้ำมันปลา เพิ่มคุณภาพชีวิตลดอาการข้อเสื่อม(Osteoarthritis) ข้อรูมาตอยด์(Rhe
umatoid arthritis)
น้ำมันป
ลามีผลลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอับเสบของข้อ เช่น Interleukin-1, Tumornecrosis factor และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) ในน้ำมันปลายังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสาร PGE 3ช่วยลดอาการอับเสบของข้อ โดยรายงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Surgical Neurology ระบุว่าน้ำมันปลาสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดคอ หรือปวดหลังเรื้อรัง โดยทำการศึกษากับผู้ป่วย 250 คน รับประทานน้ำมันปลาวันละ 2.6 กรัม ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นลดปริมาณลงเหลือวันละ1.2 กรัม พบว่าหลังจากรับประทานน้ำมันปลา 75 วัน ผู้ป่วยประมาณ 59% สามารถเลิกรับประทานยาแก้ปวดต่างๆ ผู้ป่วยประมาณ 60% พบว่าอาการปวดหลังและปวดคอลดลง และผู้ป่วยกว่า 88% รู้สึกพึงพอใจกับผลที่ได้รับและยืนยันที่จะรับประทานน้ำมันปลาต่อ


สนับสนุนข้อมูลโดย ศูนย์ข้อมูลวิชาการ
บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ พีทีวาย จำกัด

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

สร้างตัวเองเป็นคนใหม่ใน 14 วัน

ใครที่เหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้ากับการทำงานอยากลองเป็นการใช้ชีวิตใหม่ไม่ให้จำเจ ลองวิธีนี้สิค่ะ

สร้างตัวเองเป็นคนใหม่ใน 14 วัน

เริ่มรายการจาก อาหารกันก่อน

งดน้ำชา กาแฟ บุหรี่ใช้ดื่มน้ำชาสมุนไพรแทน

ถ้าคุณน้ำหนักเกิน 60 กิโลกรัม อาจทดลองเอา ท็อกซิน ออกจากตัวให้มากๆเสียหน่อย ด้วยการ :

วันแรก
งด
อาหาร แต่ควรจะดื่ม น้ำอาร์ซี หนึ่งแก้วตอนเช้ามืด เมื่อตื่นนอน แล้ว หลังจากนั้นประมาณ 2 ชั่วโมง ดื่มน้ำมะนาวสดๆคั้น 4 ลูก ต่อจากนั้นให้ดื่ม น้ำอาร์ซี.แทนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตลอดทั้งวันควรจะดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่าง น้อย 4 แก้วหรือมากกว่านั้ ควรเริ่มล้างของเก่าที่สะสมในร่างกายด้วยการ การล้างพิษ สำหรับท่านที่คิดว่ามีท็อกซินอยู่ในตัวมาก ก็น่าจะล้างพิษออกให้ครบอย่างน้อย 4 วิธี คือ วิธีสวนทวารในตอนเช้า วิธีอบ วิธีออกกำลังกาย และวิธีใช้เอนไซม์หรือสมุนไพร
การสวนทวารล้างพิษควรทดลองทำเสียก่อนตั้งแต่วันแรก ถ้ารู้สึกสบายตัว ให้ทำต่อไป อาทิตย์ละ 5 วัน เว้น 2 วัน (14 วันก็หมายความว่าทำดีท็อกซ์ 10 ครั้ง) แต่ถ้าไม่สบายตัว อึดอัด ไม่ควรทำต่อไป


วันที่ 2-3-4 เริ่มรับประทานอาหารตามสูตรชีวจิต โดยให้รับประทานอาหารอ่อนก่อน เช่น ข้าวต้มกับจับฉ่าย ระหว่าง 3 วันนี้ควรเป็นอาหารอ่อน ข้าว ผัก และเห็ด และเป็นอาหารรสธรรมชาติ ไม่ปรุงรสจัด น้ำตาล และรสหวาน ตลอด 3 วัน


วันที่ 5-6-7 รับประทานข้าวสวยหรือขนมปังโฮลวีทได้ แต่ก็ยังเป็นอาหารอ่อนอยู่ คือ ข้าวสวย ผัก และเห็ด


วันที่ 8-14 รับประทานอาหารตามสูตรชีวจิตได้เต็มที่ มีปลาหรืออาหารทะเลเพิ่มได้ 1-2 ครั้ง ดื่มน้ำคั้นจากผักหรือ น้ำเอนไซม์ เช่น น้ำแตงกวาสลับกับน้ำเซเลอรี่ ครั้งละ 1 แก้ว ตอนสายๆหรือ
บ่าย หลังอาหาร 2 ชั่วโมง


หลังจากวันที่ 4 อาจรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมก็ได้ ในกลุ่มแอนตี้ออกซิ
แดนท์ คือ วิตามิน A 10,000 I.U. วิตามิน C 1,000 m
g วิตามิน D 1,000 I.U. วิตามิน E 400 I.U. เซเลเนียม 50 ไมโครกรัม


ผู้ที่อายุเกิน 50 ขึ้นไป และอยู่ในเมืองใหญ่ๆซึ่งมีมลพิษมาก ควรเพิ่มวิตามิน และแร่ธาตุดังนี้ เลซิติน 1,200 mg จิงโกะ 60 mg สังกะสี 50 mg อีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ 500 mg (สำหรับผู้หญิง) วิตามิน B1 50 mg ร่างกาย

นอน 3 หรือ 4 ทุ่ม ตื่นตี 5 ทุกวัน หัดวิธีหลับสนิทจากชีวจิต เพื่อให้ “โกร๊ธ ฮอร์โม
น” หลั่งด้วย ถ้านอนหลับได้ สนิทอย่างนี้ วันละ 5 ชั่วโมงก็เหลือเฟือแล้ว ผ่อนคลายความเครียด ด้วยการทำ Relaxaion ออกกำลังกายทุกเช้า ด้วยวิธีไหนก็ได้ ขอให้ “โกร๊ธ ฮอร์โมน” หลั่งเป็นใช้ได้ คือ เหงื่อออกโทรม หัวใจเต้นแรง ชีพจนเต้นระหว่าง 100-120 ครั้งต่อนาที ทุกคืนก่อนนอน ขอให้ทบทวนการปฏิบัติตามข้อที่หนึ่ง ว่าทำไปแล้วอย่างไร ก้าวหน้า หรือถอยหลังไปกว่าเดิม วันต่อไปจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร สิ่งแวดล้อมในบ้านและที่ทำงาน

หาต้นไม้ ดอกไม้ ไม้ใบ (ต้นไม้จริง ไม่ใช่พลาสติก) วางไว้
ในบ้านและห้องทำงาน อย่าใช้พรมปูเต็มห้อง ถ้าจำเป็นต้องเอาพรมตากแดดทุกอาทิตย์ ให้ของใช้ในห้องนอน เช่น เตียง ผ้าคลุม หมอน ได้รับแสงแดดอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เปิดหน้าต่างให้อากาศระบายทุกวัน ระวังยาฆ่าแมลง ให้ใช้น้อยที่สุด หรือไม่ใช้เลย วิถีชีวิตต้องให้เข้ากับธรรมชาติ ที่อยู่อาศัย อากาศโปร่ง การระบายน้ำและของ โสโครกต้องสะอาด น้ำต้องบริสุทธิ์ ชีวิตประจำวันเข้ากันได้ดีกับสิ่งแวดล้อม จิตใจ

ฝึกวิธีคิด วิธีทำใจเสียใหม่ วิธีคิดคือ การคิดในทางบวก ทำ
ใจให้เบิกบาน และใช้สติกับสมาธิกำกับใจอยู่ตลอดเวลา รักเพื่อนของท่านให้เท่ากับรักตัวเอง ทุกวันมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งคน ให้ความรักแก่เพื่อน แล้วคุณจะได้ความรักกลับคืนเป็นสองเท่า

มีวิธีทำน้ำอาร์ซีมาฝากสำหรับผู้ที่ต้องการทำน้ำอาร์ซีเองที่บ้านค่ะ

วิธีทำน้ำอาร์ซี

1. เริ่มจากนำข้าวเปลือกแข็ง ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าว บาร์เลย์ ลูกเดือย และลูกบัว อย่างละ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 2 ลิตร ต้มจนเดือด จาก นั้น...

2. ใส่ข้าวแข็งปานกลาง คือ ข้าวซ้อมมือ ข้าวเหนียวซ้อมมือ และข้าว แดง (ข้าวมันปู) อย่างละ 2 กำมือ ตามลงไป ต้มจนเดือดเป็นครั้งที่สอง และ...

3. ใส่ข้าวโอ๊ต 1 กำมือเป็นส่วนสุดท้าย แล้วปิดไฟทันที ปล่อยให้ข้าว ต่างๆนอนก้น ตักเอาแต่น้ำใสๆ ดื่มร้อนๆ อาจเติมจมูกข้าวสาลีและงาดำลงไปด้วย เพื่อเพิ่มคุณค่าและให้กลิ่นที่หอมน่าดื่มยิ่งขึ้น

การเก็บรักษา : เก็บใส่ในกระติกเก็บความร้อน

ระยะเวลาการเก็บ : ควรดื่มให้หมดภายในหนึ่งวัน หากมีรสเปรี้ยวควรเททิ้งไป สำหรับกากข้าวอาร์ซี. ให้เติมน้ำต้มต่อทำเป็นข้าวต้ม หรือจะหุงเป็นข้าวสวยก็ อร่อยเช่นกัน โดยเฉพาะถ้าเติมฟักทอง เผือก หรือมันเทศ หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูก เต๋าลงไปด้วย จะทำให้ข้าวชามนี้อร่อยและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น


ขอให้ทุกท่านโชคดี สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

ฝึกสมองด้วย 9 เทคนิค

ฝึกสมองด้วย 9 เทคนิค
แนะนำการฝึกสมองให้เฉลียวฉลาดมากขึ้นค่ะ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกวัยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องใช้สมองในการคิด วิเคราะห์เรื่องราวในชีวิตประจำวัน แต่อาจจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับใช้สมองจนอ่อนล้า เช่น น้องที่อยู่ในวัยเรียนและสำหรับคนทำงานที่ต้องใช้สมองมาก ลองนำเทคนิคต่างๆ เหล่านี้ไปใช้ดูนะค่ะ

1. จิบน้ำบ่อยๆ
สมอง ประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ประมาณวันละ 6-8 แก้ว

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวันจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซี ได้จากผลไม้ต่างๆ มีมากในฝรั่งกินแล้วจะรู้สึกสดชื่นค่ะ

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับ สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์