Sponsored

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

ปิโตรเลียมเจลลี่ ตอน3 ปิโตรเลียมเจลลี่กับงานช่าง


ปิโตรเลียมเจลลี่ ตอน 3 เกี่ยวกับช่างต่างๆค่ะ ลองอ่านกันดูนะค่ะ เพื่อจะนำไปใช้ประโยนช์ได้บ้าง

กันลูกบิดประตูเวลาทาสี : ให้คุณทาปิโตรเลียมเจลลี่บนโลหะจะช่วยป้องกันสีไปติดอยู่ เมื่อคุณทาเสร็จแล้วแค่เช็ดปิโตรเลียมเจลลี่ออก สีที่คุณไม่ต้องการก็จะหลุดออกไปด้วย

หยุดยั้งการกัดกร่อนของขั้วสายแบตเตอร์รี่ : ในวันที่อากาศหนาว แบตเตอรี่รถยนต์มักจะไม่ทำงาน เนื่องจากอุณหภูมิต่ำเพิ่มแรงต้านของกระแสไฟฟ้าและทำให้น้ำมันเครื่องข้นหนืดยิ่งขึ้น ทำให้แบตเตอรี่ทำงานยากขึ้น ขั้วแบตเตอรี่ที่ถูกกัดกร่อนอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้แบตเตอรี่หยุดทำงาน ก่อนถึงฤดูหนาว ควรถอดแบตเตอรี่ออกมาทำความสะอาดด้วยแปลงลวด แล้วต่อกลับเข้าไปใหม่ ทาด้วยปิโตรเลียมเจลลี่ เจลลี่จะป้องกันการกัดกร่อน และช่วยให้แบตเตอรี่สตาร์ทติดตลอดฤดูหนาวค่ะ

หยุดเสียงบานพับประตู : น่าหงุดหงิดมากที่ประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตอนที่คุณพยายามเงียบ ทาปิโตรเลียมเจลลี่บนบานพับ แล้วประตูจะไม่ส่งเสียงอีกต่อไป

ป้องกันโครเมี่ยมที่เก็บไว้ : ถ้าคุณต้องการจะเก็บรถจักรยานเด็กไว้ในฤดูฝนหรือเก็บรถเข็นเด็กอ่อนไว้จนกว่าจะมีลูกอีกคน ก่อนที่คุณจะเก็บให้นำปิโตรเลียมเจลลี่มาทาตรงส่วนที่เป็นโครเมี่ยมของอุปกรณ์เหล่านี้ เมื่อถึงเวลาที่คุณนำออกมาจากห้องเก็บของมันจะไม่เกิดสนิม วิธีเดียวกันนี้ใช้ได้กับเครื่องจักรอื่นๆ ที่เก็บไว้ในโรงรถด้วย

ผนึกยางดูดท่อ : ก่อนที่จะหยิบถ้วยยางอัดลมมาทะลวงท่อในห้องน้ำ ให้นำปิโตรเลียมเจลลี่มาทารอบๆ ขอบของยางจะช่วยให้มันผนึกกับท่อได้แน่นขึ้น ทำให้เศษผงที่อุดตันอยู่ถูกดูดออกเกลี้ยงขึ้น

ป้องกันเกลียวขั้วหลอดไฟนอกบ้านติด : คุณเคยหมุดเกลียวหลอดไฟแล้วพบว่าหมุดออกมาได้แต่หลอดแก้วโดยที่ขั้วยังอยู่ในเบ้าหรือเป่ลา มันจะไม่เกิดขึ้นถ้าคุณทาปิโตรเลียมเจลลี่ที่ฐานของหลอดไฟก่อนที่จะหมุนเกลียวเข้าไปในเบ้า

หล่อลื่นฝาตู้และหน้าต่าง : เสียงฝาตู้ฝึดเวลาเปิด-ปิด หรือคุณต้องออกแรงกระแทกหน้าต่างทุกครั้งที่คุณต้องการเปิดให้ลมเข้าบ้าน สถานการณ์เช่นนี้แก้ด้วยการใช้แปรงทาสีเล็กๆ ทาปิโตรเลียมเจลลี่บริเวณวงกบหน้าต่างและตรงฝาตู้ ทีนี้หน้าต่างและตู้ก็จะเปิดได้ราบรื่นอีกครั้ง

เช็ดรอยน้ำออกจากไม้ : มีหยดน้ำทิ้งรอยไว้บนเฟอนิเจอร์ไม้เต็มไปหมด อาจทำให้รอยหยดน้ำหายไป ให้ทาปิโตรเลียมเจลลี่ทิ้งไว้ข้ามคืน ตอนเช้าเช็ดรอยน้ำก็จะออกพร้อมกับปิโตรเลียมเจลลี่ได้เลย

กันกระรอกไม้ให้เข้ากรงนก : ก็คุณเลี้ยงนกไม่ใช่กระรอกนี้น่า กันเจ้ากระรอกออกจากเสาให้อาหารนกโดยทาปิโตรเลียมเจลลี่ไว้ กระรอกก็จะลื่นจนปีนขึ้นเสาไม่ได้ นกของคุณก็จะกินอาหารได้อย่างสงบสุข

จากหนังสือ ทำทุกอย่างได้ไม่ธรรมดาด้วยของใช้ในบ้าน
โดย บริษัท รีดเดอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
(ยังมีเคล็ด ไม่ลับ อีก 2000 กว่าวิธี ถ้าสนใจจะหามาอ่านกันได้ค่ะ ส่วนที่ดิฉันเอามาลงในบล็อกเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นค่ะ)

วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

ปิโตรเลียมเจลลี่ ตอน2 ปิโตรเลียมเจลลี่กับของใช้ในบ้าน


ปิโตรเลียมเจลลี่ ตอน 2 ค่ะ เกี่ยวกับของใช้ในบ้าน ลองอ่านกันดูนะค่ะ เพื่อจะนำไปใช้ประโยนช์ได้บ้าง

หล่อลื่นราวม่านในห้องน้ำ : อยากจะกันน้ำให้กระเซ็นออกนอนพื้นที่ส่วนอาบน้ำได้ และรูดม่านห้องน้ำไม่ติดขัด อย่างนี้ต้องหล่อลื่นราวม่านด้วยปิโตรเลียมเจลลี่ แล้วม่านห้องน้ำก็จะไม่ติดขัด

ขจัดรอยลิปสติกออกจากผ้าเช็ดปาก : ก่อนที่คุณจะซักผ้าผืนนั้น ทาปิโตรเลียมเจลลี่บนรอยเปื้อนแล้วค่อยซักตามปกติ แค่นี้คราบเปื้อนก็จะหายไปค่ะ

แกะขี้ผึ้งออกจากเชิงเทียน : ก่อนจุดเทียนให้ทาปิโตรเลียมเจลลี่ที่ด้านในของเชิงเทียนก่อนจะใส่เทียนลงไป น้ำตาเทียนจะหลุดออกอย่างง่ายดาย

แก้ปัญหาข้อต่อเครื่องดูดฝุ่นติดแน่น : ดีที่เครื่องดูดฝุ่นเป็นอุปกรณ์ประกอบและสายต่อให้มากมายแต่ก็น่าหงุดหงิดที่ข้อต่อต่างๆ มักจะติดกันแน่นจนดึงไม่ออก ทาปิโตรเลียมเจลลี่ตามรอยต่อของท่อและอุปกรณ์ต่างๆ ที่นี้จะเลื่อนหลุดออกจากกันได้ง่าย

แกะหมากฝรั่งออกจากไม้ : ถ้าคุณเจอหมากฝรั่งติดอยู่บนโต๊ะไม้ อาจจะเป็นด้วยฝีมือของจิตรกรตัวน้อยที่ใช้ผิดสถานที่ไปหน่อย ให้คุณถูปิโตรเลียมเจลลี่ลงไปตรงส่วนที่ติดอยู่ สักพักหมากฝรั่งจะค่อยๆ หลุดออก

ดูแลเสื้อแจ๊คเก็ตหนัง : เพียงแค่ลูบด้วยปิโตรเลียมเจลลี่แล้วขัดถูเช็ดส่วนเกินออกเท่านั้นคุณก็พร้อมใส่แจ๊คเก็ตตัวโปรดของคุณ

กันมดจากชามอาหาร : ชามอาหารของเจ้าตูบถูกมดโจมตีอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม ให้คุณทาปิโตรเลียมเจลลี่ที่ขอบชาม มดจะไม่สนใจอาหารแล้วถ้ามันข้ามด่านปิโตรเลียมเจลลี่ไปได้

ขัดเงารองเท้าหนัง : ถ้าคุณลูบด้วยปิโตรเลียมเจลลี่ ความเงางามจะอยู่ได้นานขึ้น

ช่วยไม่ให้ฝาขวดติด : ถ้าคุณมีปัญหากับการเปิดขวดกาวหรือยาทาเล็บ ให้ถูปิโตรเลียมเจลลี่ลงที่รอบปากขวดก่อนปิดฝา ครั้งต่อไปจะไม่ติดอีก

สมานแผลอุ้งเท้าสัตว์เลี้ยงของคุณ : บางทีอุ้งเท้าของสุนัขและแมวอาจจะแตกและแห้ง ให้ทาปิโตรเลียมเจลลี่ที่อุ้งเท้าจะบรรเทาอาการเจ็บ มันจะรักคุณมากขึ้นที่ดูแลอุ้งเท้าที่แตกแห้งให้มัน

จากหนังสือ ทำทุกอย่างได้ไม่ธรรมดาด้วยของใช้ในบ้าน
โดย บริษัท รีดเดอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
ภาพจาก google
(ยังมีเคล็ด ไม่ลับ อีก 2000 กว่าวิธี ถ้าสนใจจะหามาอ่านกันได้ค่ะ ส่วนที่ดิฉันเอามาลงในบล็อกเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นค่ะ)

ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petroleum jelly) ตอน ปิโตรเลียมเจลลี่สำหรับเสริมความงามสำหรับคุณสาวๆ หรือหนุ่มก็ได้ค่ะ


หรือที่เรียกกันว่า วาสลีน Vaseline)นั้นแหละค่ะ ปิโตรเลียมเจลลี่นั้นมีประโยชน์มาก เอาเป็นว่าจะนำมาลงเป็นตอนๆ ให้ได้อ่านกันนะค่ะ


เช็ดเครื่องสำอางพร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า : ถ้าคุณไม่อยากจ่ายเงินแพงๆ กับครีมล้างเครื่องสำอางหรือมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับใบหน้า ลองใช้นี้ดู ปิโตรเลียมเจลลี่ ใช้ทาริมฝีปากให้ชุ่มชื้น เช็ดรองพื้น อายแชโดว์ มาสคาร่า และอื่นๆออกจากใบหน้า และยังทำหน้าที่เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ให้ใบหน้าอีกด้วย คราวนี้ก็ไม่ต้องเสียเงินแพงๆซื้อครีมล้างเครื่องสำอางอีกต่อไป

ทำเครื่องสำอางแบบฉุกเฉิน : ถ้าอายแชโดว์สีโปรดของคุณหมด คุณจะทำอย่างไร ปิโตรเลียมเจลลี่ช่วยคุณได้ โดยเติมสีผสมอาหารเติมลงไปในปิโตรเลียมเจลลี่เล็กน้อย แล้วใช้ทาเหมือนปกติ นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาสำหรับครีมปัดแก้ม ลิปสติก หรืออายแชโดว์ค่ะ

ยืดอายุน้ำหอม : คุณซื้อน้ำหอมกลิ่นโปรดไว้ประพรมไปงานต่างๆ แต่ก้อดกังวลไม่ได้ว่ากลิ่นจะติดทดนานหรือเปล่า ให้คุณปาดปิโตรเลียมเจลลี่เล็กน้อยที่ข้อมือแล้วฉีดน้ำหอมลงไป แค่นี้คุณก็จะมีกลิ่นน้ำหอมที่ติดทดนานแล้วค่ะ

ถอดแหวนที่ติดนิ้ว : ถ้าแหวนสุดโปรดของคุณติดนิ้ว ให้ทาปิโตรเลียมเจลลี่เล็กน้อยจะทำให้ถอดง่ายขึ้น

สมานผิวมือที่แตก : ก่อนที่คุณจะทำงานอะไรก็ตาม ให้คุณทาปิโตรเลียมเจลลี่ ที่มือในปริมาณที่พอควรก่อนเข้านอน เช้าวันรุ่งขึ้นมือจะนุ่มเนียน

ทาเล็บไม่เลอะเทอะ : เวลาทาเล็บเอง ยาทาเล็บมักจะไหลซึมไปตามซอกเล็บ ปิโตรเลียมเจลลี่ช่วยให้คุณทาเล็บได้อย่างเป็นมืออาชีพมากขึ้น ทาปิโตรเลียมเจลลี่เล็กน้อยรอบๆ จมูกเล็บ ถ้ายาทาเล็บไหลย้อยลงไปขณะทาเล็บอยู่ คุณก็แค่เช็ดปิโตรเลียมเจลลี่ออก ยาทาเล็บที่หยดย้อยก็จะออกไปกับปิโตรเลียมเจลลี่

จัดคิ้วที่ไม่เป็นระเบียบ : ถ้าคุณมีคิ้วที่รกไม่เป็นระเบียบ ลองจัดระเบียบคิ้วเสียใหม่ด้วยปิโตรเลียมเจลลี่ ทาที่คิ้วเล็กน้อย แล้วมันจะเข้าที่

สระผมไม่ต้องร้องไห้ : เวลาคุณสระผมให้ลูกตัวน้อยของคุณ แชมพูที่ใช้มักจะทำให้ระคายเคืองตาจนน้ำตาไหล ปิโตรเลียมเจลลี่ก็ช่วยคุณได้อีกนั้นแหละ ทาปิโตรเลียมเจลลี่เล็กน้อยลงบนคิ้วลูก มันจะทำหน้าที่เป็นเกราะกันไม่ให้แชมพูไหลเข้าตาได้

รักษาผิวระบมเพราะโดนแดด : ให้คุณพกกระปุกปิโตรเลียมเจลลี่ไปด้วยเวลาคุณไปเที่ยวทะเล ปีนเขา หรือไปในสถานที่ที่ต้องโดนแดดโดนลมทำร้าย แล้วทาใบหน้า ลำคอ หรือบริเวณที่อาจแดดโดนลม ปิโตรเลียมเจลลี่ยังช่วยบรรเทาอาการ ปวดแสบปวดร้อน เพราะแดดเผาได้นะค่ะ

ป้องกันผื่นผ้าอ้อมกัด : เมื่อหนูน้อยถูกผ้าอ้อมกัด ทาปิโตรเลียมเจลลี่จะสร้างเกาะป้องกันผิว อาการจะรักษาได้โดยไม่เจ็บ


จากหนังสือ ทำทุกอย่างได้ไม่ธรรมดาด้วยของใช้ในบ้าน

โดย บริษัท รีดเดอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

(ยังมีเคล็ด ไม่ลับ อีก 2000 กว่าวิธี ถ้าสนใจจะหามาอ่านกันได้ค่ะ ส่วนที่ดิฉันเอามาลงในบล็อกเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นค่ะ)

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

มาทำความรู้จักกับเจ้าเม่นแคระกัน

มาทำความรู้จักกับเจ้าเม่นแคระกัน

SCIENTIFIC NAME ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Atelerix albiventris
COMMON NAME ชื่อสามัญ : African pygmy hedgehog
LIFE SPA
N อายุขัย : เม่นแคระอยู่ได้นานถึง 10 ปี
RANGE ถิ่นกำเนิด: แอฟริกากลาง

มาทำความรู้จักเม่นแคระกันก่อน : เม่นแคระเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆที่ชอบกินแมลงเป็นชีวิตจิตใจ หลังของมันจะปกคลุมด้วยหนาม(spine) ส่วนใต้ท้องปกคลุมด้วย ขนนิ่มๆสีขาว สีของเม่นแคระแบ่งได้หลายเฉดสี

โดยธรรมชาติ เม่นแคระเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน ( nocturnal) แต่เมื่อเรานำมาเลี้ยง เม่นแคระสามารถปรับตัวได้ดีโดยสามารถใช้ชีวิตในเวลากลางวันได้เป็นปกติและจะ แอคทีฟ มากกว่าปกติในเวลากลางคืน เม่นแคระเป็นสัตว์ ที่สามารถนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้ดีเนื่องจากปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และผู้เลี้ยงสามารถ จับอุ้มเล่น หรือมีกิจกรรมต่างๆร่วมกันได้ด้วย โดยถ้าเราเลี้ยงตั้งแต่ๆเด็ก เม่นแคระจะติดเราและไม่แสดงอาการหวาดระแวงต่อผู้คนด้วย

ที่อยู่ อาศัยและอาหารการกิน ก็ไม่ยากจนเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้นหัดเลี้ยงใหม่ๆ โดยที่อยู่อาศัย อาจจะทำเป็นกรง แต่ไม่ควรจะเ
ป็นกรงลวด เพราะว่าอาจจะบาดขาหรือถ้าเป็นร่องก็อาจจะทำให้ตกไปในร่องได้เช่นกัน ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงในเมืองไทย นิยมใช้กล่องพลาสติกขุ่น หรือทึบแสง ขนาดใหญ่ หรือ ตู้ปลา ที่เปิดข้างบนโล่ง โดยถ้าเป็นกล่องอาจจะมีการเจาะรูรอบด้านเพื่อระบายอากาศ โดยที่นิยมให้เป็นกล่องทึบแสงเนื่องจากว่าเม่นเป็นัตว์ที่หากินในเวลากลาง คืน แต่ถ้าต้องการใช้เป็นกล่องใสก็ได้แต่ควรจะมี ที่หลบซ่อนตัวให้เม่นได้หลบบ้าง (Hiding box) โดยส่วนใหญ่แล้ว ควรจะจัดพื้นที่ประมาณ 4 ตร.ฟุต ต่อตัว แต่ถ้าเลี้ยงหลายตัวอาจจะเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม และกล่องที่เลี้ยงควรจะมีความสูง เพราะว่าเม่นแคระชอบปืนป่ายอาจจะทำให้หลุดได้ง่าย และนอกจากปืนป่ายแล้วยังชอบขุดอีกด้วย ดังนั้นอาจจะต้องใส่สิ่งปูรองนอนเช่น ให้สูงอย่างน้อย 10 เซ็นติเมตรด้วย เพื่อจะได้ให้เค้าได้รู้สึกเหมือนอยู่ในธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงผู้เลี้ยงมักจะไม่ใส่ให้สูงขนาดนั้นเนื่องจากสิ้นเปลือง และทำความสะอาดยาก และมักจะมองไม่เห็นตัวเม่น

สิ่งปูรองที่มักจะ นิยมใช้คือ ขี้เลื่อย ซึ่งจะสามารซับกลิ่นได้ในระดับหนึ่งแต่มักจะ
ต้องเปลี่ยนหรือทำความสะอาด บ่อยๆไม่เช่นนั้นแล้วจะมีสิ่งสกปรกหมักหมมทำให้เม่นแคระมีปัญหาของโรคผิว หนังหรือปัญหาทางระบบทางเดินหายใจตามมา

ในกรงอาจจะต้องหาของเล่น ต่างๆใส่ไว้ให้ด้วย เพื่อให้เม่นได้เล่นจะได้ช่วยลดความเครียด ได้ ของเล่นเช่น ขอนไม้ ลูกบอลที่สามารถกลิ้งได้ หรือว่าอาจจะมี ท่อ ที่สามารถฝังลงไปในสิ่งรองนอนได้ ทำให้เป็นเหมือนโพรงในธรรมชาติ และอาจจะหาถาดน้ำใส่ให้เค้าก็ได้เพราะเม่นเป็นสัตว์ที่ชอบเล่นน้ำ เหมือนกัน โดยเม่นบางตัวชอบที่จะให้เจ้าของอาบน้ำให้บ่อยๆ และบางตัวมีความสามารถในการว่ายน้ำด้วย แต่ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าอาจจะทำให้สิ่งปูรองเปียกและทำให้หมักหมมได้ อาจจะต้องการความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของผู้เลี้ยงแต่ละคนว่ามีเวลาดูแลขนาด ไหน

ส่วนเรื่องอาหาร เม่นแคระจัดเป็นสัตว์ในตระกูล Insectivore ซึ่งเป็นสัตว์ในกลุ่มที่กินแมลงเป็นอาหาร เม่นแคระเป็นสัตว์ที่มีกระเพาะอาหารแบบ กระเพาะเดี่ยว และทานทั้งเนื้อและพืช (Monogastric omnivores )โดยอาหารธรรมชาติของเม่นแคระคือสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเช่นแมลงหรือ หนอนต่างๆ และ กบ กิ้งก่า หรือหนู และไข่ รวมถึง ผลไม้ และเห็ด แต่โดยส่วนใหญ่แล้วอาหารที่เรานิยมให้เมื่อเรานำเค้ามาเลี้ยงก็คือ อาหารแมว โดยสามารถให้ได้ทุกวัน และอาจจะเสริมผักให้ได้โดยสามารถโรยวิตามิน และแคลเซี่ยมเสริม ได้ และอาจจะเสริมแมลง หรือหนอนนกให้ได้ โดยให้ สี่ถึงห้าตัวต่อ ครั้ง สามถึงสี่ครั้งต่อสัปดาห์ และไม่ควรให้เยอะจนเกินไปเนื่องจากว่าจะทำให้อ้วนจนเกินไปได้และจะทำให้มี โรคอ้วนในเม่นแคระตามมา

หลักการในการให้อาหาร ควรจะให้ในช่วงเย็นหรือกลางคืน มากกว่าช่วงเช้า แต่ก็สามารถฝึกและปรับให้เม่นแคระทานอาหารในช่วงกลางวันได้เช่นกัน และอาจจะ เอาอาหารบางส่วนซ่อนไว้ใน สิ่งปูรอง เพื่อให้เม่นแคระ ได้แสดงพฤติกรรมทางธรรมชาติ และออกกำลังกายไปด้วย ส่วนน้ำที่ให้เม่นทาน ควรจะเป็นน้ำสะอาดและฝึกให้เม่นสามารถทานจากขวดน้ำเช่นเดียวกับหนูหรือ กระต่ายได้

ข้อมูลจาก http://mammalzvn.blogspot.com/2008/01/blog-post_31.html

เรื่องของการจำศีลเม่นแคระ

เนื่อง จากเป็นสัตว์ท้องถิ่นของอัฟริกา ที่มีอากาศแห้งแล้ง และร้อน เม่นแคระอัฟริกาจึงไม่จำศีล แม้จะนำมาเลี้ยงในประเทศหนาวแล้วก็ตาม นั่นเป็นข้อแตกต่างอย่างหนึ่งจากเม่นแคระพันธุ์ยุโรป เม่นแคระอัฟริกามีความสามารถในการปรับอุณหภูมิของร่างกาย ทั้งจากอุณหภูมิภายนอก หรือฮีทเตอร์ที่เราจัดให้ และจากขบวนการเมตาบอลิซึมหลังจากได้รับอาหาร จึงจำเป็นต้องปรับอุณหภูมิที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับเขา รวมทั้งอาหารที่มีคุณค่า อย่างไรก็ตามในหน้าหนาว เม่นแคระอัฟริกาจะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับได้ (semi-stuporous state) โดยเมื่อหน้าหนาวมาเยือน สัตว์เหล่านี้จะทำการขุดหลุมหรือโพรงเพื่อนอน แต่ไม่ใช่การจำศีล (hibernation) ที่แท้จริง ระดับเมตาบอลิซึมก็ยังสูงกว่าที่พบในการจำศีล หรือไม่สามารถทำให้ช้าหรือต่ำจนถึงระดับจำศีลได้ เหมือนในเม่นแคระยุโรป เม่นแคระอัฟริกายังออกมาข้างนอกโพรงเสมอ และกลับไปนอนยาว ครั้งละประมาณ 1 สัปดาห์ บางทีเรียกลักษณะแบบนี้ว่า สภาวะการหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว (Aestivation) เท่านั้น หากเจ้าของพยายามจะให้จำศีล ทั้งที่สัตว์ไม่สามารถตามธรรมชาติ จะทำให้เม่นแคระอัฟริกาตายเนื่องจากสภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ (hypothermia) หรือขาดอาหาร หรือทั้งสองอย่าง

ขณะ ที่เม่นพันธุ์ยุโรปนั้น ตามธรรมชาติ เมื่อถึงหน้าหนาวจะเข้าสู่การจำศีล ซึ่งเป็นข้อดีของสัตว์ที่อาศัยในประเทศที่มีอากาศหน
าว เมื่ออากาศเย็นลง ร่างกายมีความสามารถปรับตัวเองสู่การจำศีลได้อย่างไม่มีปัญหา เป็นการพัฒนาการมานับตั้งแต่โบราณ โดยจะเริ่มเข้าสู่การหลับ (stuporous state) ก่อนเข้าสู่การจำศีลอย่างสมบูรณ์ โดยจะค่อยๆ ลดเมตาบอลิซึมในร่างกายลง แต่ลักษณะกลไกของร่างกายดังกล่าว ก็สามารถเกิดอันตรายได้ เนื่องจากสัตว์จะไม่สามารถควบคุมความร้อนในร่างกายได้ หากไม่อยู่ในสภาวะจำศีล โดยเจ้าของไม่เข้าใจ ก็จะทำให้เม่นแคระยุโรปตายได้

ข้อมูลจาก http://www.epofclinic.com

ตำนานกุหลาบ

ตำนานดอกกุหลาบ

กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย
ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้น ศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย

ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย

กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม
บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลายดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบและผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอก กุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

ตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย
กุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก
กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า
กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง เนืองนอง
หอมรื่นชื่นชมสอง สังวาส
นึกกระทงใส่พานทอง ก่ำเก้า
หยิบรอจมูกเจ้า บ่ายหน้าเบือนเสีย
สำหรับ ตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มากแต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?
มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดง ไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาว แสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน
หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลย ทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลา ยเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงใน สวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง
นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อ พระผู้เป็นเจ้า

ที่มาบางส่วนจากwww.panmai.com/Valentine/rose_legend.shtml

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

ปูเล่ไม้กระถางกินได้

จากประวัติความเป็นมาบางคนเรียกปูเล่ว่า คะน้าสามร้อยปี จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรพบว่า ปูเล่เป็นพืชที่เก่าแก่มีมานานแล้ว โดยพบทางภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งแต่ครั้งสมัยต้นรัตนโกสินทร์ จึงคาดว่ามีผู้นำปูเล่มาจากประเทศจีน ในช่วงการอพยพย้ายถิ่นฐาน ชาวจีนนำปูเล่ปลูกในกระถางไว้บนเรือ และเก็บบริโภคระหว่างเดินทางด้วยระยะเวลานาน
ปูเล่ เป็นต้นไม้พันธุ์กะหล่ำตอนที่เจริญเติบโตจะเหมือนดอกไม้ดอกใหญ่ในกระถางใบปูเล่จะคล้ายใบคะน้า รสชาติดีและอุดมไปด้วยสารอาหารที่น่าสนใจ มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เสริมภูมิต้านทานและช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งและหัวใจขาดเลือด

ขยายพันธุ์ได้ง่าย : เมื่อปลูกมีอายุเกินกว่าหนึ่งปี ที่ลำต้นจะมีการแตกกิ่งแขนงเล็ก ๆ การขยายพันธุ์จึงใช้กิ่งแขนงเล็ก ๆ นี้เพาะชำได้ง่าย หลังจากปลูกไปได้ 4 เดือน ก็จะเริ่มเก็บใบมาทานได้ เรื่อยๆ จะเก็บใบได้ 2-3 อาทิตย์ ต่อครั้ง หากต้องการทานปูเล่ฟรีๆ ทุกอาทิตย์ต้องปลูกสัก 3-4 ต้น ปูเล่เป็นพืชที่มีความทนทาน ตลอดหน้าฝน หน้าหนาว หรือฤดูร้อน ปูเล่ขึ้นได้ดีขึ้นได้กับทุกท้องที่ตั้งแต่เหนือจรดใต้

การดูแลรักษา : เมื่อปลูกปูเล่ใส่กระถาง ควรนำกระถางให้ได้รับแสงแดดบ้าง อาจได้รับแสงแดดเพียงครึ่งวันก็พอ จึงวางที่ระเบียงบ้าน หรือด้านใดด้านหนึ่งของบ้านได้รดน้ำวันละครั้ง จะเป็นช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ หากมีเวลาเพียงวันละ 2-3 นาทีในการรดน้ำ และตรวจดูสภาพความชื้น ดูหนอนที่อาจมารบกวนบ้างก็พอแล้ว

เรื่องเล่าของพยัญชนะไทย

แม่ (ก) ไก่สาวออก (ข) ไข่อยู่ในเล้าแต่ทำไมถึงมี (ฃ) ขวดไวร์วางอยู่ในเล้าไก่ เมื่อมองออกไปนอกเล้ามองเห็น (ค) ควายตัวหนึ่งยืนเล็มหญ้าอย่างสบายอารมณ์ในท้องทุ่ง แต่ขณะนั้นเองก็มี (ฅ) คนเดินตรงมาที่เจ้าควายตัวนั้นแล้วจูงเจ้าควายไปผูกที่ต้นไม้ต้นหนึ่งบริเวณใกล้ๆ เล้าไก่ แล้วเขาก็เดินกลับไปที่บ้าน

สายลมเอื่อยๆ พัดไปกระทบกับโมบายที่ทำมาจาก (ฆ) ระฆังอันเล็กๆ หลายๆ อันที่แขวนไว้ที่ประตูบ้าน ทำให้เกิดเสียงกุ๊ง กิ๊ง แต่มีระฆังอันท้ายแถวอันหนึ่งหลุดจากห่วงกระเดะไปตกที่บริเวณพงหญ้าข้างๆ บันไดที่มีเจ้า (ง) งูขี้ตกใจนอนหลังอยู่ เจ้างูเข้าใจว่ามันกำลังถูกทำร้ายจึงพุงตรงไปที่คนผู้นั้นที่กำลังจะเดินขึ้นบันได เขาตรงใจมากจึงคว้า (จ) จานกระเบื่องที่วางอยู่บนบันไดปาใส่เจ้าอย่างเต็มแรง จานกระเบื่องบินเฉียวเจ้างูไปอย่างหวุดหวิด แต่ก็ทำให้มันหยุดชะงัดจากการโจมตี แล้วเลี้อยหายเข้าพงหญ้าไป เขารู้สึกโลงอก แล้วเขาก็เดินขึ้นบันไดไป ส่วนที่อยู่ใกล้บันไดที่สุดเป็นตู้โชว์ของสะสม เขาชอบสะสมเครื่องดนตรีไทยและในตู้โชว์ก็มีเครื่องดนตรีมากมายเท่าที่เขาจะสรรหาได้ เช่น มี (ฉ) ฉิ่ง ฉาบ กรับไม้ ขลุ่ย ปี่ ฯลฯ และถัดจากตู้โชว์ไปเป็นภาพวาดรูป (ช) ช้างแขวนอยู่ในภาพมี (ซ) โซ่ผูกอยู่ที่ข้อเท้าช้าง กำลังยืนอยู่ระหว่าง (ฌ) ต้นไม้สองต้น และมี (ญ) หญิงสาวในชุดควานช้างยืนอยู่ข้างๆ ต้นไม้

เขาเดินตรงไปยังห้องครัวเพื่อดื่มน้ำและสิ่งที่วางหมิ่นเหม่อยู่ใกล้ๆ ขวดน้ำ คือ ผงชูรสตรา (ฎ) ชฎา จากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังห้องนอนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ในห้องนอนของเขามีภาพของพ่อที่ถือ (ฏ) ไม้เท้านั่งอยู่บน (ฐ) ฐานอะไรสักอย่าง ดูสง่างามมาก และภาพที่แขวนไว้ใกล้ๆ กันเป็นภาพนาง () มณโฑซึ่งก็คือแม่ของเขาที่แต่งเป็นนางมณโฑ สมัยยังสาวตอนที่เล่นละครเวที แต่ตอนนี้ท่านทั้งสอง () ชรามากแล้วหลังจากที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ออกมายืนที่หน้าบ้าน เขาเห็น () เณรน้อยกำลังเดินอยู่บนถนนและมี () เด็กอีกคนเดินตามหลังและถือยามรูป () เต่าที่มีไม้จัตวา (+) อยู่เหนือหลังเต่า และมืออีกข้างก็ถือ () ถุงใบหนึ่งสีเป็นลาย () ทหารพราน

เขายืนนิ่งเหม่อมองอะไรบางอย่าง ที่ไกลออกไปแลเห็น () ธงชาติกำลังถูกดึงขึ้นสู่ยอดเสาสถานที่นั้นเป็นโรงเรียนที่อยู่ไกลออกไป ในเวลาเดียวกันนั้นบริเวณข้างบ้านมี () หนูตัวหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ใต้ () ใบไม้เพื่อหาอาหาร เขาเดินตรงไปที่ตู้ () ปลาเพื่อให้อาหารปลาทองที่เขาเลี้ยงไว้ประมาณสามสี่ตัว แล้วเขาก็หันไปเห็น () ผึ่งตัวหนึ่งบินเข้ามาในบ้านตรงไปเกาะที่ () ฝาผนังบ้านสักครู่แล้วมันก็บินออกไป เขาเอื้อมมือไปที่ () พานที่วางอยู่ใกล้ๆ ตู้ปลา ในพานนั้นมี () ฟันปลอมวางอยู่ เขาหยิบฟันปลอมหย่อนลงในแก้วที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว และบริเวณใกล้ๆแก้วน้ำก็มีเรือสำ () เภาจำลองที่ถูกใส่ไว้ในขวดแก้ววางอยู่อย่างสวยงามบนเรือนั้นก็มี () ม้าสีขาวอยู่สองตัว แต่ภายในเรือสำเภานั้นไม่ได้มีเพียงม้าเท่านั้น ยังมีสัตว์อีกเป็นจำนวนมาก เช่น กระต่าย กระรอก กวาง ลิง สุนัข ฯลฯ ทุกชนิดมีอย่างละสองตัวเป็นตัวผู้และตัวเมีย และในตำแหน่งที่สูงขึ้นไปยังมีรูป () ยักษ์ทศกัณฐ์เป็นภาพวาดจากเรื่องรามเกียร์ ซึ่งตอนเด็กๆ เขาชอบอ่านมาก แขวนอยู่เหนือ () เรือสำเภาในขวดแก้วใบน้อยด้วย แล้วเขาก็เดินไปนั่งที่โซฟาหน้าทีวี ใช้นิ้วกระแทกไปที่ปุ่มเปิดทีวี รายการแรกที่เจอคือ สารคดีสัตว์โลกน่ารัก เป็นเรื่อง () ลิงชิมแปนซี เขาเอื้อมมือไปหยิบรีโมทที่วางอยู่บนทีวี ทำให้ () แหวนซึ่งเป็นแหวนของเขาเองที่ถอดวางไว้ข้างรีโมทก่อนออกไปผูกควาย ตกลงมาค้างอยู่ที่ () ศาลาจำลองที่วางอยู่ข้างทีวี ในศาลานั้นมี () ฤาษีนั่งสมาธิอยู่ เขาหยิบแหวนมาวางไว้ที่เดิม แล้วนำรีโมทมาเปลี่ยนช่องรายการ แต่ก่อนที่เขาจะได้เปลี่ยนช่อง รายการสัตว์โลกน่ารัก ได้เปลียนเรื่องจากลิงชิมแปนซี ไปเป็นเรื่องของ () เสือชีต้าในทุ่งหญ้า เขาเปลี่ยนช่องไปช่องใหม่เป็นเกมโชว์ที่ให้ผู้เล่นขุดหา () หีมสมบัติจากกะบะทราย เขาเปลี่ยนไปอีกช่อง คนกลุ่มคนกำลังเล่นว่าว () จุฬากันเต็มท้องฟ้า คงเป็นบริเวณสนามหลวงมัง แล้วสัญญานภาพก็ตัดมาที่ร้านขายสินค้าแห่งหนึ่ง พิธีกรรายการบอกว่าจะพามาดูอะไรบางอย่าง สิ่งนั้นคือ () อ่างน้ำดินเผาที่แกะสลักเป็นลาย () นกฮูก อยู่ด้านข้างอ่าง เขาคิดว่าวันนี้คงไม่มีรายการอะไรที่น่าสนใจแล้ว เขาจึงปิดทีวี แล้วมุ่งหน้าสู่ห้องนอน

ผู้แต่ง:AoNg

….....................จบจ่ะ..................